การทำงานของการ์ดแสดงผล
การ์ดแสดงผล (display adapter) เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างเครื่อง คอมพิวเตอร์กับจอภาพ
ซึ่งจะทำหน้าที่ถ่ายทอดข้อมูลภาพจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปแสดงผลยังจอภาพ
ถ้าคุณซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์สักตัวก็จะได้รับจอภาพพร้อมกับการ์ดแสดงผลที่ติดตั้งภายในเครื่องคอมพิวเตอร์มาด้วย (การ์ดแสดงผลมักจะเสียบอยู่กับช่องเสียบการ์ดแสดงผลภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์บางรุ่นที่การ์ดแสดงผลเชื่อมอยู่บนกระดานระบบ)
ข้อควรระวัง ในกรณีที่คุณต้องการเปลี่ยนจอภาพ ควรจะถามผู้ขายด้วยว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลด้วยหรือไม่ เพราะจอภาพบางรุ่นจำเป็นต้องใช้ควบคูกับการ์ดแสดงผลเฉพาะรุ่น
(การแสดงผล {มักจะเรียกว่าวิดีโอการ์ด} จะทำงานคู่กันกับจอภาพ)
จอภาพแบบมัลติสแกน (Multiscan monitor) จะสามารถทำงานร่วมกับการ์ดแสดงผลได้หลากหลายรุ่น ข้อดีของจอภาพแบบนี้ก็คือ ในกรณีที่คุณเปลี่ยนการ์ด แสดงผลใหม่ คุณก็สามารถใช้จอภาพชนิดนี้ต่อเชื่อมได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนจอภาพใหม่เหมือนกับการ์ดแสดงผลบางรุ่น แต่ข้อเสียของจอภาพแบบนี้ก็คือมีราคาแพง
บางครั้งคุณอาจจะได้ยินคนบานเรียกการ์ดแสดงผลว่า “การ์กากราฟิก”(Graphic board) หรืออาจจะเรียกว่า “ตัวแปลงสัญญาณกราฟิก” (Graphic adapter) หรือแม้แต่ตัวแปลงสัญญาณวิดีโอ (Video adapter) หรือวิดีโอบอร์ (Video board) ไม่ต้องสับสนทุกคำล้วนหมายถึงการ์ดแสดงผลทั้งสิ้น
สี
คุณต้องการสีสันบนจอภาพหรือไม่ ถ้าใครต้องการ คำแนะนำของผมก็คือ ซื้อจอภาพสีซะถึงแม้ว่าคุณจะต้องใช้เวลากับการทำงานบนโปรแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์ โปรแกรมบัญชีและพิมพ์ออกมาในแบบขาวดำ แต่ถ้าคุณมีจอภาพสีคุณจะรู้สึกถึงความสนุกสนาน และความง่ายในการใช้งานมากกว่าใช้จอภาพขาวดำ ไม่ว่าจะเป็นโปรดแกรมเวิร์ดโปรดเซสเซอร์โปรดแกรมกระดานอีเล็กทรอนิกส์ หรือโปรแกรม อื่นใดก็ตามจอภาพสีมอบความสบายให้กับคุณมากกว่า เช่น คุณจะสามารถเห็นตัวอักษรที่เลือกได้ง่ายกว่า หรือเมื่อคุณมีตัวเลขติดลบบนกระดานอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมก็จะแสดงตัวเลขนั้นออกบนจอภาพในรูปแบบของตัวเลขสีแดง เป็นต้น และที่สำคัญที่สุด จอภาพสีได้รับความนิยมในการใช้งานสูงการซ่อมแซมทำได้ง่าย และ ราคาถูกกว่า
ความละเอียด
ความละเอียดของจอภาพขึ้นอยู่กับจำนวนจุดแสงที่มีอยู่บนจอภาพ (ซึ่งเรียกว่า “พิกเซล” (Pixel) มาจากคำว่า Picture elements) จอภาพที่มีความละเอียดสูงจะทำให้คุณมองภาพที่อยู่บนจอได้ง่าย และเห็นรายละเอียดต่าง ๆ อย่างชัดเจน
ทุกวันนี้มาตรฐานต่ำสุดของจอภาพสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความ -สามารถเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทไอบีเอ็ม (IBM compatible) ก็คือ จอภาพแบบ VGA (มาจาก Video Graphic Array) จอภาพแบบนี้สามารถแสดงผลได้ที่ความละเอียด 640 พิกเซลทางด้านแนวนอน และ 480 พิกเซลทางด้านแนวตั้ง แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการวางขายในปัจจุบันมักจะขายพร้อมกับจอภาพในแบบ SVGA (Super VGA) ซึ่งจะสามารถแสดงผลได้ที่ความละเอียด 800 คูณ 600 พิกเซล หรือ 1,024 คูณ 768 พิกเซล ขึ้นอยู่กับโปรม-แกรมที่ใช้งาน และถ้าคุณต้องการที่จะใช้งานโปรแกรมมัลติมีเดียคุณควรจะเลือกใช้จอภาพแบบ SVGA เพราะว่าโปรดแกรมมัลติมีเดียส่วนมากต้องการจอภาพในแบบ SVGA (จอภาพ SVGA จะสามารถทำงานในโหมด VGA ได้ดีเท่า ๆ กับจอภาพแบบ VGA)
ขนาด
จอภาพมาตรฐานทั่วไปมักจะมีขนาด 14 นิ้ว (วัดตามเส้นทแยงมุมเหมือนการวัด ขนาดโทรทัศน์) แต่ถ้าคุณมีกำลังซื้อมาก คุณอาจจะซื้อจอภาพที่มีขนาด 15 นิ้ว, 16 นิ้ว, 17 นิ้ว เพราะว่าจอภาพยิ่งมีขนาดใหญ่ก็จะแสดงผลต่าง ๆ บนจอกภาพได้มากขึ้น มองเห็นได้ชัดขึ้น
จอภาพที่ใหญ่ที่สุดที่มีการผลิตจำหน่ายในปัจจุบัน มักจะนิยมผลิตขนาด 20 นิ้ว, 21 นิ้ว และ 24 นิ้ว จอภาพยิ่งมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งมีราคาแพงมากขึ้น ข้อดีของจอภาพขนาดใหญ่ก็คือมองเห็นภาพขนจอได้ชัดเจน สามารถแสดงข้อมูล บนจอภาพได้มกกว่าจอภาพธรรมดาเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องทำงานกับกระดานอิเล็กทรอนิกส์ที่มีปริมาณข้อมูลมาก ๆ เพราะจะเห็นข้อมูลทั้งหมดได้ในเวลาเดียวกัน แต่มิใช่ว่าจอภาพขนาดใหญ่จะมีแต่ข้อดี ข้อเสียก็มีเหมือนกัน ข้อเสียของจอภาพขนาดใหญ่ก็คือ ราคาแพง นอกจากนั้นยังใช้เนื้อที่บนโต๊ะมาก และอาจมีความสว่างในการแสดงผลมากเกินไปสำหรับบางคน อาจจะทำให้แสบตา ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ได้ ต้องการให้ผู้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องซื้อจอภาพใหญ่ ๆ มาใช้ ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนมากกว่า
คุณภาพของภาพ
มีหลายปัจจัยที่เราจะต้องใช้เมื่อเวลาที่เราต้องการจะตัดสินว่าจอภาพใดมีคุณภาพ มากกว่ากันสิ่งที่สำคัญที่สุด และต้องให้ความสำคัญกับมันมากกว่าอย่างอื่น เมื่อ ต้องการจะตัดสินถึงคุณภาพของจอภาพก็คือ ระยะห่างระหว่างจุด (dot pitch), อัตราการสร้างภาพใหม่ในแนวตั้ว (vertical refresh rate) และการเต้นของภาพ (interlacing) และสิ่งสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดก็คือ ความชอบของตัวผู้ซื้อ ระยะห่างระหว่างจุดจะใช้สำหรับการวัดคุณภาพของจอภาพสีเท่านั้น ซึ่งระยะห่างระหว่าง จุดนี้จะบ่งบอกถึงความละเอียดของแต่ละพิกเซลบนจอภาพ จอภาพที่มีระยะห่างระหว่างจุดน้อย จะแสดงภาพบนจอภาพได้ดีกว่าจอภาพที่มีระยะห่างระหว่างจอภาพมาก จอภาพขนาด 14 นิ้ว ควรจะมีระยะห่างระหว่างจุดประมาณ 0.28 หรือน้อยกว่า ในขณะที่จอภาพใหญ่อาจจะมีค่าระยะห่างระหว่างจุดมากกว่าจอภาพ 14 นิ้ว
เล็กน้อย อย่างไรก็ตามจงอย่าตกเป็นเหยื่อของผู้ขายถ้าพวกเขาเหล่านั้นเสนอขายจอภาพที่มีระยะห่างระหว่างจุดสูง ๆ ในราคาที่ถูกกว่าจอภาพที่มีระยะห่างระหว่าง จุดต่ำ ๆ พวกเข้าเหล่านั้นมักจะมีวิธีที่ทำให้คุณหลงเชื่อว่า จอภาพที่มีระยะห่างระหว่างจุดต่ำ ๆ สามารถแสดงผลได้ชัดเจนเทียบเท่ากับจอภาพที่มีระยะห่างระหว่างจุดสูง ๆ โดยพวกเขาเหล่านั้นมักจะแสดงให้คุณดูในภาพกราฟิก และชี้ให้คุณเห็นว่าไม่มีความแตกต่างในการแสดงผลแบบกราฟิก แต่สิ่งที่วัดคุณภาพ หรือความละเอียดของจอภาพไม่ได้วัดจากการที่จอภาพสามารถแสดงภาพกราฟิกบนจอได้ชัดเจน มากน้อยเพียงไร และถ้าคุณต้องการจะดูว่าจอภาพดังกล่าวมีคุณภาพมากน้อย เพียงไร ให้ดูจากความคมชัดของตัวอักษรที่แสดงบนจอภาพ
ส่วนอัตราการสร้างภาพใหม่ในแนวตั้งของจอภาพ จะแสดงให้คุณทราบถึง จำนวนวครั้งที่จอภาพทำการกวาดเส้นสร้างภาพจากตำแหน่งบนสุดของจอภาพ ไปถึงตำแหน่งล่างสุดของจอภาพต่อวินาที จอภาพที่มีค่านี้ยิ่งมากเท่าไรยิ่งมีคุณภาพดีมากเท่านั้น อัตราการสร้างภาพนี้จะมีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ (Hz) จอภาพส่วนใหญ่จะมีอัตราการสร้างภาพที่ 60 ครั้งต่อนาที่ (60 Hz) ซึ่งเรียกว่าดีพอสำหรับการแสดงผลตัวอักษร แต่อาจจะไม่ค่อยดีสำหรับการแสดงผลในแบบกราฟิก ซึ่งเป็นหัวใจหลักของวินโดวส์และโปรดแกรมใช้งานที่ทำงานภายใต้วินโดวส์โดยทั่วไป ซึ่งควรจะใช้จอภาพในแบบ SVGA ซึ่งมีอัตราการแสดงผลที่ 72 Hz
การเต้นของภาพเกิดจากกระบวนการสร้างภาพบนจอภาพ จอภาพที่มี การเต้น (Interlaced monitor) เกิดจากการหลอดภาพของจอภาพชนิดนี้จะต้องกวาดลำแสงสองครั้งเพื่อสร้างภาพ (เหมือนกับโทรทัศน์) แต่สำหรับจอภาพที่มี การกวาดลำแสงในการสร้างภาพเพียงครั้งเดียว จะให้ภาพที่นิ่งกว่าและระคายเคือง ตาเวลาทำงานหน้าจอภาพนาน ๆ น้อยกว่า เราเรียกจอภาพแบบนี้ว่า “noninterlaced monitor”
ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อจอภาพ กรุณาบอกให้คนขายลองจอภาพให้ดู ประกอบการพิจารณา โดยให้ทางคนขายเปิดโปรแกรมที่ใช้งานโดยทั่วไป เช่น โปรดแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์ โปรแกรมกระดานอเล็กทรอนิกส์ โปรดแกรมวาดภาพโปรแกรมมัลติมีเดียจากซีดีรอมหรือเกม รวมทั้งภาพเคลื่อนไหว แล้วให้สังเกตดู ทั้งคุณภาพของตัวอักษร และรูปภาพบนจอภาพว่าแสบตาหรือไม่ รวมทั้งมีความคมชัดเป็นที่น่าพอใจหรือไม่ สำหรับวิธีที่ดีที่สุดในการดูว่าคุณภาพของภาพเป็นอย่างไร ให้ลองดูตัวอักษรสีขาวบนพื้นสีดำ ซึ่งจะบ่งบอกถึงคุณภาพของจอภาพได้ง่าย และตรงมากที่สุด
ท้ายสุดสำหรับการซื้อจอภาพก็คือความพึงพอใจของผู้ซื้อ ถ้าคุณมองแล้วชอบก็ซื้อไปเถอะ เพราะคุณเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าจอภาพที่คุณเห็น คุณภาพของภาพที่เห็นคุณพอใจหรือไม่ ผู้ซื้อบางคนาจะชอบยืดติดกับยี่ห้อ สำหรับคนเขียนก็เป็น คนหนึ่งที่ยืดติดกับยี่ห้อเหมือนกัน ผู้เขียนมักชอบที่จะใช้จอภาพของ Sony,NEC หรือไม่ก็ของ Philip ถึงแม้ว่าคุณภาพของจอเหล่านี้จะมีคุณภาพที่ดีกว่าจอภาพ อื่น ๆ แต่ขอเสียก็อยู่ตรงที่มีราคาแพง แต่ก็คุ้มค่ากับความสามารถของมันที่จะมอบให้กับเรา คำแนะนำสุดท้ายของผมเกี่ยวกับซื้อจอภาพก็คือ ซื้อจอภาพที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณเกิดมาเพื่อใช้จอภาพนั้น ผมชอบที่จะสั่งซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์จากหนังสือแค็ตตาล็อก แต่ไม่มีวันที่จะซื้อจอภาพจากแค็ตตาล็อกเพราะผมจะไม่มีโอกาสเห็นคุณภาพของมันก่อนที่จะซื้อ
หลักการทำงานพื้นฐานของการ์ดแสดงผลจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อโปรแกรมต่างๆ ส่งข้อมูลมาประมวลผลที่ซีพียูเมื่อซีพียู ประมวลผล เสร็จแล้ว ก็จะส่งข้อมูลที่จะนำมาแสดงผลบนจอภาพมาที่การ์ดแสดงผล จากนั้นการ์ดแสดงผล ก็จะส่งข้อมูลนี้มาที่จอภาพ ตามข้อมูลที่ได้รับมา การ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาส่วนใหญ่ ก็จะมีวงจรในการเร่งความเร็ว การแสดงผลภาพสามมิติ และมีหน่วยความจำมาให้มากพอสมควร | ||||
![]() | ||||
หน่วยความจำ | ||||
การ์ดแสดงผลจะต้องมีหน่วยความจำที่เพียงพอในการใช้งานเพื่อใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่ได้รับมาจากซีพียู และสำหรับการ์ดแสดงผลบางรุ่น ก็สามารถประมวลผลได้ภายในตัวการ์ดโดยทำหน้าที่ในการประมวลผลภาพแทนซีพียูไปเลยช่วยให้ซีพียูมีเวลาว่างมากขึ้นทำงานได้เร็วขึ้น | ||||
เมื่อได้รับข้อมูลจากซีพียูมาแล้ว การ์ดแสดงผลก็จะเก็บข้อมูลที่ได้รับมาไว้ในหน่วยความจำส่วนนี้นี่เอง ถ้าการ์ดแสดงผลมีหน่วยความจำมากๆ ก็จะรับข้อมูลมาจากซีพียูได้มากขึ้น ช่วยให้การแสดงผลบนจอภาพ มีความเร็วสูงขึ้น และหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงก็ยิ่งดี เพราะจะมารถรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้นยิ่งถ้าข้อมูลที่มาจากซีพียูมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งต้องใช้หน่วยความจำที่มีขนาดใหญ่ๆ เพื่อรองรับการทำงานได้โดยไม่เสียเวลา ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ๆ นั่นก็คือข้อมูลของภาพที่มีสีและความละเอียดของภาพสูงๆ | ||||
ความละเอียดในการแสดงผล | ||||
การ์ดแสดงผลที่ดีจะต้องมีความสามารถในการแสดงผลในความละเอียดสูงๆ ได้เป็นอย่างดี ความละเอียดในการ แสดงผลหรือ Resolution ก็คือจำนวนของจุดหรือพิเซล (Pixel) ที่การ์ดสามารถนำไป แสดงบนจอภาพได้ จำนวนจุดยิ่งมากก็ทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัดขึ้นส่วนความละเอียดของสีก็คือความสามารถในการแสดงสีได้ในหนึ่งจุด จุดที่พูดถึงนี้ก็คือจุดที่ใช้ในการแสดงผลในหน้าจอ เช่น โหมดความละเอียด 640x480 พิกเซล ก็จะมีจุดเรียงตามแนวนอน 640 จุด และจุดเรียงตามแนวตั้ง 480 จุด | ||||
โหมดความละเอียดที่เป็นมาตราฐานในการใช้งานปกติก็คือ 640x480 แต่การ์ดแสดงผลส่วนใหญ่ สามารถที่จะแสดง ผลได้หลายๆ โหมด เช่น 800x600, 1024x768 และการ์ดที่มีประสิทธิภาพสูงก็จะ สามารถแสดงผลในความละเอียด 1280x1024 ส่วนความละเอียดสก็มี 16 สี, 256 สี, 65,535 สี และ 16 ล้านสีหรือมักจะเรียกกันว่า True Color | ||||
อัตราการรีเฟรชหน้าจอ | ||||
การ์ดแสดงผลที่มีประสิทธิภาพ จะต้องมีอัตราการรีเฟรชหน้าจอได้หลายๆ อัตรา อัตราการรีเฟรชก็คือ จำนวนครั้งในการกวาดหน้าจอใหม่ในหนึ่งวินาทีถ้าหากว่าอัตรารีเฟรชต่ำจะทำให้ภาพบนหน้าจอมีการกระพริบ ทำให้ผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์เกิดอาการล้าของกล้ามเนื้อตาและอาจทำให้เกิดอันตรายกับดวงตาได้ | ||||
อัตราการรีเฟรชในปัจจุบันอยู่ที่ 72 เฮิรตซ์ ถ้าใช้จอภาพขนาดใหญ่อัตรารีเฟรชยิ่งต้องเพิ่มมากขึ้นอัตรา รีเฟรชยิ่งมากก็ยิ่งดี | ||||
ปัญหาและการแก้ปัญหาที่เกิดจาก Display Card | ||||
| ||||
- ปัญหา เคลื่อนย้ายเครื่องแล้วเปิดเครื่องได้ยินเสียงทำงาน แต่หน้าจอไม่มีภาพ | ||||
สาเหตุ | ||||
การ์ดจอแบบ AGP จะมีสล็อตสำหรับใส่ที่พอดีหรือตึงมากเราติดตั้งการ์ดเข้ากับสล็อตจะต้องดันให้สุด | ||||
วิธีการแก้ปัญหา | ||||
ให้เปิดฝาเครื่องออกมาตรวจดูหากพบว่าตัวการ์ดหลวมหลุดให้ดันการ์ดกลับเข้าไปในสล็อตให้แน่น
ออกมาแล้วใช้ยางลบดินสอทำความสะอาดแล้งจึงใส่กลับเข้าไปใหม่ ก็คงจะใช้การได้เหมือนเดิม
| ||||
- ปัญหา เล่นเกมบางทีภาพกระตุก แฮงค์ค้าง | ||||
สาเหตุ | ||||
ปัญหานี้เกิดได้หลายสาเหตุเช่น อาจเป็นเพราะการ์ดจอที่ใช้อยู่มีประสิทธิภาพไม่ดีพอไม่สามารถเล่นเกมที่ใช้กำลังเครื่องมากได้ บางครั้งอาจเกิดจากพัดลมระบายความร้อนบนชิปกราฟิคสกปรกทำให้ | ||||
วิธีการแก้ปัญหา | ||||
1.เปิดฝาเครื่องออกและลองเปิดเครื่องตรวจดูว่าพัดลมระบายความร้อนของชิปกราฟิคหมุนหรือไม่ หากไม่หมุนต้องดูว่าพัดลมสกปรกมีคราบฝุ่นละอองเกาะติดอยู่หรือไม่ ให้ใช้ยาสเปรย์ฉีดพร้อมกับใช้ | ||||
2.หากพบว่าพัดลมระบายความร้อนชิปกราฟิคเสีย ให้ซื้อมาเปลี่ยนใหม่ หลังจากเปลี่ยนพัดลมตัวใหม่ | ||||
- ปัญหา การ์ดจอ Onpoard เสีย | ||||
ปัญหานี้จะแสดงอาการออกมาในลักษณะเปิดเครื่องได้เห็นไฟเข้าเครื่องทำงานปกติแต่หน้าจอจะไม่มี | ||||
สาเหตุ | ||||
ปัญหานี้สาเหตุเป็นเพราะระบบแสดงผลของชิปเซ็ตบนเมนบอร์ดเสีย ทำให้ไม่มีภาพปรากฎบนหน้าจอ | ||||
วิธีการแก้ปัญหา | ||||
ในการแก้ไขปัญหาก็ให้ทำการจัมเปอร์บนเมนบอร์ดเป็น Disable หรือกำหนดค่าในไบออสให้เป็น | ||||
1. เปิดฝาเครื่องออกให้สังเกตจัมเปอร์บนเมนบอร์ดที่มีตัวอักษรกำกับว่า VGA หรือให้ดูจากคู่มือ | ||||
2. เมื่อพบแล้วให้เปลี่ยนจัมเปอร์ ซึ่งอาจเป็นการถอดออกหรือเปลี่ยนขา จากขา 1,2 เป็น 2,3 | ||||
3. ให้ติดตั้งการ์ดจอใหม่ลงเครื่อง ปิดฝาและเปิดเครื่อง หลังจากนั้นให้ลงไดรเวอร์ให้เรียบร้อย | ||||
การติดตั้งการ์ดจอ | ||||
1. ก่อนที่จะทำการใดๆ ให้คุณกราวน์ตัวเองก่อน โดยการเอามือไปแตะที่ตัวเคส | ||||
2. พยายามนำเอาสายไฟที่กีดขวางอยู่ออกไปทางด้านข้าง ถ้าไม่จำเป็นอย่าถอดออกมา เพราะคุณอาจจะลืมไปว่า คุณถอด ออกมาจากที่ใด | ||||
3. ให้ตรวจดูสล็อตสำหรับติดตั้งการ์ดจอโดยการ์ดรุ่นใหม่ จะใช้สล็อต AGP กันหมดแล้ว จุดสังเกตคือ เป็นสล็อตสี น้ำตาลเข้มที่อยู่ด้านบนใกล้กับซีพียู (ถ้าเป็นสล๊อต PCI จะเป็นสีขาว) | ||||
4. ในการจับการ์ดให้คุณจับในบริเวณที่เป็นพลาสติก ห้ามจับในบริเวณที่เป็นแถบทองแดงด้านล่างของการ์ด เพราะฝุ่นผง ที่มือคุณอาจจะไปทำให้ทางเดินไฟฟ้าสะดุดได้ | ||||
5. เสียบตัวการ์ดลงไปตรงๆ | ||||
6. ค่อยๆ กดตัวการ์ดลงไปเบาๆ ถ้ากดแล้วไม่ลงอย่าพยายามฝืน ให้ถอดออกแล้วเสียบลงไปใหม่ | ||||
7. ใช้ไขควงขันน็อตให้เรียบร้อย |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น