วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การ์ดเสียง (Sound card)
เสียงเป็นส่วนสำคัญของระบบมัลติมีเดียไม่น้อยกว่าภาพ ดังนั้นการ์ดเสียงจึงเป็นอุปกรณ์ จำเป็นที่สำคัญของระบบ คอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย การ์ดเสียงได้รับการพัฒนาคุณภาพอย่างรวดเร็วเพื่อ ให้ได้ประสิทธิภาพของเสียงและความผิดเพี้ยน น้อยที่สุด ตลอดจนระบบเสียง 3 มิติในปัจจุบัน ความชัดเจน ของเสียงจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ อัตราการสุ่มตัวอย่าง และ ความแม่นยำ ของตัวอย่างที่ได้ ซึ่งความแม่นยำของตัวอย่างนั้นถูกกำหนด โดยความสามารถของ A/D Converter ว่ามีความ ละเอียดมากน้อยเพียงใด ทำอย่างไรจึงจะประมาณ ค่าสัญญาณดิจิตอลได้ใกล้เคียงกับสัญญาณเสียงมากที่สุด ความละเอียดของ A/D Converter นั้นถูก กำหนด โดยจำนวนบิตของสัญญาณดิจิตอลเอาต์พุต เช่น - A/D Converter 8 bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 256 ระดับ - A/D Converter 16 bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 65,536 ระดับ หากจำนวนระดับมากขึ้นจะทำให้ความละเอียดยิ่งสูงขึ้นและการผิดเพี้ยนของสัญญาณเสียงยิ่งน้อยลง นั่นคือ ประสิทธิภาพที่ของเสียง ที่ได้รับดีขึ้นนั่นเอง แต่จำนวนบิตต่อหนึ่งตัวอย่างจะมากขึ้นด้วย
ชนิดของการ์ดเสียง (Sound Card) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ซึ่งแบ่งชนิดออกตามอดีตถึงปัจจุบัน ได้แก่

1. การ์ดเสียง (Sound Card) แบบ ISA  ซึ่งผลิตออกมานานแล้วจะใช้ร่วมกับเมนบอร์ดรุ่นเก่าที่มีสล็อต ISA  ระบบเสียงยังไม่ได้คุณภาพ  แต่ก็เป็นการ์ดเสียง ที่ได้รับการนิยมในสมัยอดีด แต่ในปัจจุบันการ์ดเสียงแบบ ISA ไม่มีแล้ว


        รูปภาพ 3 แสดงการ์เสียง (sound Card) ที่เป็นแบบ ISA

2. การ์ดเสียง (Sound Card) แบบ PCI  เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถสังเคราะห์เสียงได้อย่างมีคุณภาพและมีราคาไม่แพงมากแต่ก็มีราคาแพงในบางรุ่น สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ

 
        รูปภาพ 4 แสดงการ์เสียง (sound Card) ที่เป็นแบบ PCI


3. การ์ดเสียง (Sound Card) แบบ External
  ชนิดของการ์ดเสียง (Sound Card) แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท แต่ที่จัด การ์ดเสียง (Sound Card) แบบ External ออกเป็นประเภทที่ 3 ก็เพราะว่าการ์ดเสียงแบบนี้เริ่มมีให้เห็นกันมากขึ้น  อีกทั้งยังมีการติดตั้งที่แตกต่างจาก การ์ดเสียง (Sound Card) ที่บอกมาข้างต้นด้วย โดยสามารถที่จะติดตั้งโดยผ่านทางพอร์ต USB ทำให้ในการใช้งานนั้นสามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น 



         รูปภาพ 5 แสดงการ์เสียง (sound Card) ที่เป็นแบบ External
การ์ดเสียงรุ่นใหม่ๆที่ขายอยู่ในท้องตลาดทุกวันนี้ จะเป็นการ์ดแบบ PCI ขั้นตอนการติดตั้งจะคล้ายกับการ์ดแลน แต่จะมีการติดตั้งสายสัญญาณเสียงเข้ากับ ซีดีรอมไดรว์ด้วยเท่านั้นตามขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนการติดตั้งการ์ดเสียง
1. เสียบแผ่นการ์ดลงในสล็อต แล้วค่อยๆออกแรงกดเบาๆ
2. ขันน็อตยึดการ์ดเสียงเข้ากับตัวเคส
3. ต่อสายสัญญาณของการ์ดเสียง โดยนำสายที่ต่ออยู่กับ ซีดีรอมไดรว์ตรงช่อง Analog Audio มาเสียบเข้าที่คอนเน็คเตอร์ CD-INของการ์ดเสียง

รูปแสดงการต่อสายสัญญาณเสียง

การเลือกซื้อการ์ดเสียง ซาวน์ดการ์ดกันมากขึ้นแล้วนะครับ และการที่จะเลือกซื้อซาวน์ดการ์ดนั้นก็คงจะไม่ต่างอะไรกับอุปกรณ์อื่นๆ คือต้องรู้ก่อการเลือกซื้อการ์ดเสียง 
ซาวน์ดการ์ดกันมากขึ้นแล้วนะครับ และการที่จะเลือกซื้อซาวน์ดการ์ดนั้นก็คงจะไม่ต่างอะไรกับอุปกรณ์อื่นๆ คือต้องรู้ก่อนว่าจะนำซาวน์ดการ์ดนี้ไปใช้งานเกี่ยวกับประเภทใด เพื่อที่จะได้เลือกซาวน์ดการ์ดที่เหมาะสมกับการใช้งานของท่านเช่นถ้าต้องการซาวน์ดการร้องรำทำเพลงอย่างพวกคาราโอเกะ หรือสำหรับการฟังเพลงเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเลือกซาวน์ดการ์ดที่มีการรองรับ ระบบเสียงหลายช่อง แต่ให้มองหาซาวน์ดการ์ดที่มีค่า SNR สูงๆ เข้าไว้ ค่า SNRก็คือ Signal to Noise Ratio ทั้งในส่วนของอินพุตและเอาต์พุต ถ้าต้องการซาวน์ดการ์ดเพื่อการเล่นเกมก็ควรเลือกการ์ดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เช่นรองรับระบบเสียงแบบสามมิติรอบทิศทาง รองรับเทคโนโลยี EAX เป็นต้น ข้อคิดก่อนซื้อ เพื่อให้คุ้มค่าที่สุด
อันดับ แรก คุณต้องคิดก่อนว่าคุณจะนำไปใช้งานหนักหนาสาหัสขนาดไหน บางคนอาจนำไปใช้แค่ดูหนัง ฟังเพลงทั่วไป แบบนี้ ใช้ Sound on Board ก็ได้สบายๆ ไม่ว่าจะเป็น AC 97 ยอดนิยม หรือของ Intel , Max ก็ไม่มีปัญหาอะไร บางคนอาจใช้แค่เขียน MIDI เท่านั้น หรือบางคนอาจใช้ทำ Sampling แปลงMIDI -> WAVE ด้วย plugin ตัวเล็กๆ ง่ายๆ ก็ยังไหวนะครับ ทำทีละไลน์ก็แล้วกันนะครับ
ถ้า หากคุณคิดจะนำไปใช้บันทึกเสียงเล็กๆน้อยๆด้วย เช่น อัดกีต้าร์เข้าไปทีละไลน์ หรือจะทำ Samplign กับ Sound ขนาดใหญ่ๆ ขนาด 1 GB ขึ้นไป ขืนยังใช้Sound on Board อยู่ ไม่ไหวแน่ๆครับ ยิ่งจะMixเสียงที่มีหลายๆไลน์ ก็สะดุด หรือมีเสียงแแปลกๆแทรกแล้วครับ (sound card ประมวลผลไม่ไหว) แบบนี้ คงต้องมองหา Sound Card ดีๆมาใช้ ถ้างบน้อย จะใช้ Creative Sound Blaster Liveก็ไม่แพงครับ อย่างรุ่น 5.1 ใหม่ๆ ยังแค่ 1000 บาทเองครับ รุ่น 7.1 น่าจะหาได้ไม่เกิน 1500 บาท
หาก ต้องการเล่นเอฟเฟคกีต้าร์บนเครื่องคอมพิวเตอร์สดๆ แบบ Real Time เลย กับโปรแกรมพวก Amplitube Live หรือตัวโหดอย่าง GuitarRig ก็ไม่ไหวแล้วล่ะครับ ต้องหา Sound Card ที่ประมวลผลเร็วกว่านั้นอีก โดยให้พิจารณาค่าLatency (ความหน่วงเสียง) ด้วย ควรน้อยกว่า 5 ms หรือจะให้ดี ก็เป็น ไปเลย สำหรับราคานั้น ผมแนะนำให้เริ่มจาก Creative รุ่น Audigy รหัส ES ที่รองรับASIO 2.0 และสามารถปรับ latency ให้ต่ำกว่ากว่า 5 ms ได้ ซึ่งเจ้าตัวนี้ก็ไม่แพงครับ ราคา พันกว่าบาทเอง หากมีเงินจะเอาระดับ พันกว่าบาทขึ้นไปก็ได้ครับ ส่วนใหญ่จะมี latency = 0 ทั้งนั้น


โมเด็ม (Modems)
เป็นอุปกรณ์สำหรับคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่งที่ช่วยให้คุณสัมผัสกับโลกภายนอกได้อย่างง่ายดาย โมเด็มเป็นเสมือนโทรศัพท์สำหรับคอมพิวเตอร์ที่จะช่วยให้ระบบคอมพิวเตอร์ของคุณสามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์อื่น ได้ทั่วโลก โมเด็มจะสามารถทำงานของคุณให้สำเร็จได้ก็ด้วยการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ของคุณเข้าคู่สายของโทรศัพท์ธรรมดาคู่หนึ่งซึ่งโมเด็มจะทำการแปลงสัญญาณดิจิตอ(digital signals) จากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณอนาล็อก (analog signals) เพื่อให้สามารถส่งไปบนคู่สายโทรศัพท์ 
คำว่า โมเด็ม(Modems) มาจากคำว่า (modulate/demodulate) ผสมกัน หมายถึง กระบวนการแปลงข้อมูลข่าวสารดิจิตอลให้อยู่ในรูปของอนาล็อกแล้วจึงแปลงสัญญาณกลับเป็นดิจิตอลอีกครั้งหนึ่งเมื่อโมเด็มของคุณต่อเข้ากับโมเด็มตัวอื่นความแตกต่างของโมเด็มแต่ละประเภท

โมเด็มแต่ละประเภทจะมีคุณลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้
1. ความเร็วในการรับ - ส่งสัญญาณ

       ความเร็วในการรับ - ส่งสัญญาณ หมายถึง อัตรา (rate) ที่โมเด็มสามารถทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับโมเด็มอื่นๆมีหน่วยเป็น บิต/วินาที (bps) หรือ กิโลบิต/วินาที (kbps) ในการบอกถึงความเร็วของโมเด็มเพื่อให้ง่ายในการพูดและจดจำ มักจะตัดเลขศูนย์ออกแล้วใช้ตัวอักษรแทน เช่น โมเด็ม 56,000 bps จะเรียกว่า โมเด็มขนาด 56 K 
2. ความสามารถในการบีบอัดข้อมูล
   ข้อมูลข่าวสารที่ส่งออกไปบนโมเด็มนั้นสามารถทำให้มีขนาดกะทัดรัดด้วยวิธีการบีบอัดข้อมูล  (compression) ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ครั้งละเป็นจำนวนมากๆ เป็นการเพิ่มความเร็วของโมเด็มในการรับ - ส่งสัญญาณ 
3. ความสามารถในการใช้เป็นโทรสาร
   โมเด็มรุ่นใหม่ๆ สามารถส่งและรับโทรสาร (Fax capabilities) ได้ดีเช่นเดียวกับการรับ - ส่งข้อมูล หากคุณมีซอฟท์แวร์ที่เหมาะสมแล้วคุณสามารถใช้แฟคซ์โมเด็มเป็นเครื่องพิมพ์(printer)ได้เมื่อคุณพิมพ์เข้าไปที่แฟคซ์โมเด็มมันจะส่งเอกสารของคุณไปยังเครื่องโทรสารที่ปลายทางได้
4. ความสามารถในการควบคุมความผิดพลาด
   โมเด็มจะใช้วิธีการควบคุมความผิดพลาด (error control) ต่างๆ  มากมายหลายวิธีในการตรวจสอบเพื่อการยืนยันว่าจะไม่มีข้อมูลใดๆสูญหายไประหว่างการส่งถ่ายข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง 
5. ออกแบบให้ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก
   โมเด็มที่จำหน่ายในท้องตลาดทั่วๆ ไปจะมี 2 รูปแบบ คือ โมเด็มแบบติดตั้งภายนอก (external modems) และ แบบติดตั้งภายใน (internal modems) 
6. ใช้เป็นโทรศัพท์ได้
   โมเด็มบางรุ่นมีการใส่วงจรโทรศัพท์ธรรมดาเข้าไปพร้อมกับความสามารถในการรับ - ส่งข้อมูลและโทรสารด้วย

ใช้โมเด็มทำอะไรได้บ้าง         เราสามารถใช้โมเด็มทำอะไรต่างๆ ได้หลายอย่าง เช่       1. พบปะพูดคุย            
                     2. ใช้บริการต่างๆ จากที่บ้าน           
                     3. ท่องไปบนอินเทอร์เน็ต            
                     4. เข้าถึงบริการออนไลน์ได้            
                     5. ดาวน์โหลดข้อมูล,รูปภาพและโปรแกรมแชร์แวร์ได้                                    6. ส่ง - รับโทรสาร            
                     7. ตอบรับโทรศัพท์
การเลือกซื้อโมเด็ม         สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อโมเด็มมาใช้งาน เช่น            
                     1. เข้ากันได้กับระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ             
                     2. เข้ากันได้กับระบบทำงาน OS ของคอมพิวเตอร์ของคุณ                            3. ความเร็วในการรับ - ส่งสัญญาณ             
                     4. เป็นโมเด็มภายนอกหรือภายใน            
                     5. การบีบอัดข้อมูล          
                     6. ความสามารถในการควบคุมความผิดพลาด             
                     7. รับ - ส่งโทรสารได้            
                     8. ซอฟท์แวร์สื่อสาร

สิ่งที่ต้องใช้ร่วมกับโมเด็ม         การที่สามารถใช้โมเด็มให้เกิดประโยชน์จากแหล่งข้อมูลนั้นจะต้องตรวจสอบว่ามีสิ่งเหล่านี้พร้อมหรือไม่                                               1. ซอฟท์แวร์สื่อสาร             
                    2. พอร์ทอนุกรม (serial port)             
                    3. fast UART เป็นซิฟตัวหนึ่งที่ติดตั้งบนพอร์ทอนุกรมของคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมการไหลของข้อมูลเข้าและออกจากพอร์ทอนุกรม                           4. serial cable เป็นสาย cable ที่นำมาต่อโมเด็มกับพอร์ทอนุกรมของคอมพิวเตอร์(ต้องตรวจสอบดูว่าเป็น connector แบบ ขา หรือ 25 ขา)            
                    5. expansion slot ถ้าโมเด็มเป็นแบบติดตั้งภายในจะต้องมี expansion slot ใช้งาน                โดยจะต้องถอดฝาครอบตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ออกและติดตั้งโมเด็มลงไปบน expansion slot

มาตรฐานในส่วนของฮาร์ดแวร์ของโมเด็ม 
          มาตรฐานในส่วนของฮาร์ดแวร์ของโมเด็ม กำหนดขึ้นโดยองค์การมาตรฐานสื่อสากล หรือ CCITT(International Telephone and Telephone and Telegraph Consultative Committee) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็น ITUT (International Telephone and Telegraph Consultative Committee) โดยมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับความเร็วในการรับส่งข้อมูล ความถี่ที่ใช้ และเทคนิค การผสมสัญญาณในสาย เป็นต้น หน่วยงาน ITU-T มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานการสื่อสารและรับส่งข้อมูล ผู้ผลิตรายใหญ่ทั่วโลกจึงปฏิบัติตามมาตรฐานของ CCITT หรือ ITU-T ทำให้โมเด็มซึ่งมียี่ห้อแตกต่างกันสามารถรับส่งข้อมูลถึงกันได้ มาตรฐานในส่วนของฮาร์ดแวร์ของโมเด็ม ประกอบด้วย
               1. ความเร็วในการรับส่งข้อมูล
               2. การผสมสัญญาณแบบ FSK, PSK
ความเร็วในการรับส่งข้อมูล
          ความเร็วในการรับส่งข้อมูลของโมเด็มเรียกว่า บิตต่อวินาที (bit per second, bps) หรือ Bit Bate ส่วนอัตราในการส่งข้อมูลเป็นการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณไฟฟ้าในสายส่งเรียกว่า Baud Rat ส่วนเดิมการรับส่งข้อมูลจะใช้เทคนิคการผสมสัญญาณแบบง่ายๆไม่ซับซ้อนเช่น การเปลี่ยนแปลงความถี่ของข้อมูลจาก และ อัตราการส่งข้อมูลและอัตราการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณในสายส่งจึงมีค่าเท่ากันหรือสัญญาณรูปคลื่น 1 ลูกจะแทนข้อมูล บิต ดังนั้นอัตราการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณในสายส่ง (Baud Rate) จึงเป็นอัตราในการส่งข้อมูล ต่อมาเทคนิคการผสมสัญญาณมีความซับซ้อนมากขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้สื่อสารกันได้ดีขึ้นแม้จะมีอัตราการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณในสายยังเท่าเดิม เช่น โมเด็มรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 1,200 Band เราจะไม่ทราบว่าโมเด็มมีความสามารถในการรับส่งข้อมูลได้กี่บิตต่อวินาที เนื่องจากถ้าโมเด็มผสมสัญญาณ บิตต่อหนึ่งลูกคลื่น โมเด็มจะรับส่งข้อมูลที่ความเร็ว 1,200 บิตต่อวินาที หรือถ้าโมเด็มผสมสัญญาณ บิตต่อหนึ่งลูกคลื่นที่เปลี่ยนแปลงในสายส่ง โมเด็มจะรับส่งข้อมูลได้เร็วถึง 4,800 บิตต่อวินาที โดยยังมีอัตราการเปลี่ยนแปลงในสายส่งเท่ากัน 1,200 Band เหมือนเดิม เราจึงเลิกใช้คำว่า Band Rate เพื่อบอกความเร็วในการรับส่งข้อมูลของโมเด็มและใช้คำว่า Bit Rate หรืออัตราการส่งข้อมูลเป็นบิตต่อวินาทีแทน
การผสมสัญญาณแบบ FSK, PSK
          มาตรฐานการผสมสัญญาณที่ใช้มากในปัจจุบันคือ Frequency Shift Keying(FSK), Phase Shift Keying(PSK) และ Quadrature Amplitude Modulation(QAM) Frequency Shift Keying โมเด็มความเร็วต่ำ โดยแทนสัญญาณด้วย และ ด้วยความถี่ต่างกัน ฝ่ายส่งจะใช้ความถี่สองความถี่ แทน และ ส่วนฝ่ายรับใช้ความถี่อีกสองความถี่แทน และ ทั้งสองฝ่ายจึงใช้ความถี่รวมสี่ความถี่ การผสมสัญญาณแบบ FSK มักใช้กับโมเด็มมีความเร็วประมาณ 300 ถึง 600 บิตต่อวินาที และใช้กับโมเด็มแบบ Acoustic Coupler ความเร็วสูงสุดของโมเด็มที่ใช้เทคนิคในการผสมสัญญาณจะอยู่ที่ 1,200 บิตต่อวินาที ปกติโมเด็มสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ใช้การผสมสัญญาณแบบ FSK จะรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 300 บิตต่อวินาที การผสมสัญญาณแบบ FSK นี้จะได้อัตราการส่งข้อมูล (Bit Rate) จะเท่ากับ Baud Rate เสมอ
การผสมสัญญาณแบบ Phase Shift Keying (PSK) นั้นใช้หลักการแทนข้อมูล และ เป็นการแปลงสัญญาณของสายส่ง(Phase) เช่น อาจกำหนด 0แทนด้วยองศาหรือมุมของคลื่นให้มีความต่อเนื่องกันไป ส่วน แทนที่มุมจากเดิม 180 องศา  Quadrature Amplitude Modulation (QAM) คือการผสมสัญญาณการแปลง Phase และขนาดของสัญญาณพร้อมกัน เทคนิคของโมเด็มความเร็วสูง ซึ่งถ้าใช้ Phase อย่างเดียว มุมที่เปลี่ยนจะมีค่าน้อยไม่เพียงพอทำให้มีความผิดพลาดได้ ถ้าใช้การเปลี่ยน Phase และขนาดของสัญญาณประกอบด้วยจะทำให้วงจรด้านรับแยกความแตกต่างระหว่างสัญญาณของข้อมูลได้ชัดเจน
          สมัยแรก ๆ โมเด็มที่มีใช้งาน จะมีความเร็วแค่เพียง 1,200 bps เท่านั้น และได้มีการพัฒนาความเร็วให้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน ความเร็วของโมเด็มจะอยู่ที่ 56Kbps มาตราฐานของโมเด็มแต่ละรุ่นตามตารางต่อไปนี้
มาตราฐาน
Baud Rate
Bit Rate
V.32 bis
2,400
7,200/9,600/12.000/14,400
V.fast, V.FC
2,400
28,800
V.34
2,400
28,800
V.34+
2,400
33,600
X2
2,400
57,600
K56 Flex
2,400
57,600
V.90
2,400
57,600
                  Baud Rate คืออัตราการเปลี่ยนแปลงของลูกคลื่นสัญญาณ โดยมากจะมีค่าเป็น 2,400
Bit Rate คืออัตราการส่งข้อมูล ที่สามารถรับส่งได้จริง
          ในส่วนของโมเด็มที่มีความเร็วสูงกว่า 33.6Kbps หรือที่เห็นเป็น 56Kbps นั้น ความจริงแล้วจะมีอัตราการรับข้อมูลได้สูงสุด ไม่เกิน 53Kbpsและสามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดเพียงแค่ประมาณ 33.6Kbps เท่านั้น ลองนึกภาพการเอาโมเด็มแบบ 56Kbps 2 ตัวมาต่อกันโดยตรง จะเห็นว่าถ้าหากอัตราการส่งข้อมูล จะได้ไม่เกิน 33.6Kbps หมายความว่า เราจะสามารถต่อโมเด็ม ตัวด้วยกันตรง ๆ ได้ความเร็วไม่เกิน 33.6Kbps นะครับ หลายท่านคงจะงง ว่าแล้วที่เห็นความเร็วได้สูงกว่านั้นล่ะ คืออะไร คำตอบก็คือระบบ โมเด็มที่ ISP ส่วนใหญ่ใช้งานกันในการให้บริการด้วยความเร็ว56Kbps จะเป็นการต่อโดยตรง เข้ากับชุมสายโทรศัพท์แบบดิจิตอล จึงทำให้สามารถส่งข้อมูลที่ความเร็วสูงสุด 53Kbps ได้ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพ ของคู่สายและองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย)

           นอกจากนี้ หากการเชื่อมต่อโมเด็มในแบบ 56Kbps โดยมีการต่อผ่านระบบ PABX หรือระบบโทรศัพท์ตู้สาขาต่าง ๆ (เช่น ตามหอพักหรือโรงแรม) จะสามารถเชื่อมต่อด้วยความเร็วสูงสุดที่ประมาณ 33.6Kbps เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า ระบบ PABX จะมีการลดทอนระดับสัญญาณต่าง ๆ ลงไปอีก หากต้องการต่อใช้งานให้ได้ความเร็วใกล้เคียงกับ 56Kbps ก็ต้องต่อโดยใช้ สายโทรศัพท์ที่เป็นสายตรงจากชุมสายโทรศัพท์เท่านั้น

มาตราฐานของ X2, K56Flex และ V.90
           ครั้งแรกที่มีการคิดมาตราฐานของโมเด็มที่มีความเร็วสูงกว่า 33.6Kbps หรือที่เรียกว่า 56Kbps จะมีอยู่ มาตราฐานที่เกิดขึ้นมาก่อน แต่ไม่สามารถใช้งานด้วยกันได้ นั่นคือ X2 และ 56K Flex ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานโมเด็ม ของทั้งสองมาตราฐานนี้ จะต้องใช้งานกับ ISP ที่รองรับระบบนั้น ๆ เท่านั้น ต่อมา เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหานี้ และการทำให้เป็นมาตราฐานเดียวกัน จึงได้มีมาตราฐาน V.90 เกิดขึ้นสำหรับการใช้งานในความเร็ว56Kbps ซึ่งโมเด็มหลาย ๆ ยี่ห้อก็จะมีความสามารถ upgrade จากระบบเดิมให้เป็นแบบ V.90 ได้ด้วย ดังนั้นหากจะเลือกซื้อโมเด็มมาใช้งานในปัจจุบัน ควรเลือกยี่ห้อหรือรุ่นที่รองรับมาตราฐาน V.90 ไว้ด้วย เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในการใช้งาน

  มาตรฐานในส่วนของซอฟต์แวร์
          โมเด็มจะติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อรับส่งข้อมูล ขณะที่โมเด็มไม่ได้ติดต่อกับปลายทางเพื่อส่งข้อมูล คอมพิวเตอร์จะสามารถส่งคำสั่งต่างๆให้โมเด็มได้โดยไม่รบกวนการส่งข้อมูล เมื่อเปิดสวิทช์ให้โมเด็มทำงาน สัญญาณที่โมเด็มได้รับจากคอมพิวเตอร์เป็นคำสั่ง เมื่อติดต่อคอมพิวเตอร์ปลายทางได้ โมเด็มจะส่งข้อมูล จนกว่าจะเลิกติดต่อคอมพิวเตอร์ปลายทางหรือวางสายโทรศัพท์ โมเด็มจึงกลับมาอยู่ในภาวะที่รับคำสั่งจากคอมพิวเตอร์อีกครั้งหนึ่ง
บริษัท Hayes Microcomputers Products Inc. ผลิตชุดคำสั่งเพื่อสั่งงานโมเด็มใช้กับเครื่องพีซี ได้รับความนิยมถือเป็นมาตรฐานหนึ่ง คือคำสั่งการทำงานของโมเด็มโดยใช้ซอฟต์แวร์สั่งจากคอมพิวเตอร์ไปโมเด็มโดยตรง การใช้จึงมีความสะดวกขึ้นเพราะไม่ต้องปรับสวิทช์ในการเลือกการทำงานแบบต่างๆของโมเด็ม คำสั่งนี้เป็นคำสั่งมาตรฐานของ Hayes ภาษาไทยอ่านว่า เฮยส์
           หน้าที่ของคำสั่งโมเด็มคือ การควบคุมการทำงานที่จำเป็นของโมเด็ม อาทิ ต่อสายโทรศัพท์หรือวางสายโทรศัพท์ รีเซ็ทโมเด็ม สั่งโมเด็มหมุนโทรศัพท์ตามเบอร์ที่ติดต่อ ปรับพารามิเตอร์ต่างๆของโมเด็ม ตอบรับสัญญาณโทรศัพท์ที่เรียกเข้ามา เลือกให้ทำงานแบบ Echo on หรือ Echo off เป็นต้น
          ข้อดีของคำสั่งโมเด็มคือ
          เดิมการใช้งานโมเด็มก่อนมีคำสั่งโมเด็มหรือโมเด็มในยุคแรกต้องใช้คนในการหมุนโทรศัพท์ติดต่อเพื่อส่งข้อมูลไปจนกว่าฝ่ายรับจะรับโทรศัพท์โมเด็มมีหน้าที่เพียงรับส่งสัญญาณและเปลี่ยนแปลงสัญญาณที่ได้รับมาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ การใช้งานโมเด็มจึงไม่สะดวก ผู้ใช้งานโมเด็มจึงต้องมีความเข้าใจการทำงานของโมเด็มอย่างดีจึงจะใช้งานได้ และต้องมีการปรับฟังก์ชันการทำงานในด้านต่างๆส่วนใหญ่จะใช้การผลักสวิทช์เล็กๆ(DIP Switch) ต่อมาคำสั่งโมเด็มได้รับการพัฒนาเพื่อช่วยการทำงานโมเด็มให้มีความสะดวกขึ้นตามหน้าที่ของโมเด็มดังกล่าวข้างต้น และโมเด็มเป็นคำสั่งติดต่อมีความสามารถปรับตัวแปรต่างๆของโมเด็มให้ใช้งานได้ตามความต้องการ ซึ่งผู้ใช้โมเด็มไม่ต้องรู้เรื่องรายละเอียดของโมเด็ม โดยโปรแกรมจะติดต่อส่งข้อมูล การใช้งานโมเด็มจึงเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้
คอมพิวเตอร์สั่งงานโมเด็มโดยใช้ Hayes Command (AT command)
          1. โมเด็มต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ โมเด็มพร้อมรับคำสั่งจากคอมพิวเตอร์
          2. คอมพิวเตอร์สั่งให้โมเด็มทำงานตามคำสั่ง
          3. โมเด็มทำงานตามคำสั่ง
การทำงานของโมเด็มจะเก็บคำสั่งต่างๆไว้เป็นหน่วยความจำพิเศษ โดยเก็บไว้ภายในโมเด็ม โมเด็มที่ใช้คำสั่งของ Hayes คือความจำส่วน S-Register มาตรฐานคำสั่งโมเด็มของ Hayes
          Hayes Command หรือ AT Command คือคำสั่งการใช้งานโมเด็มดังกล่าวข้างต้น คำสั่งทุกคำสั่งจะขึ้นต้นด้วย AT เมื่อจบคำสั่งปิดท้ายด้วยรหัส ASCII ตัวที่ 13 คือ Carriage Return หรือกด Enter โมเด็มจะรับคำสั่งไปทำงานทันที และตอบ OK บางคำสั่งมีรหัสหรือตัวเลขต่อท้ายเพื่อระบุวิธีการทำงาน เช่น ATB อาจตามด้วย หรือ คำสั่งจริงอาจเป็น ATBO หรือ ATB1 ก็ได้ บางคำสั่งตามด้วยข้อมูลเช่น ATDT2730037 คือคำสั่งATDT คำสั่งให้โมเด็มหมุนโทรศัพท์หมายเลข 2730037 เป็นต้น คำสั่งเรียงตามตัวอักษร ถึง Z

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 3
คำศัพท์
คำอ่าน
คำแปล
1
Interrupt
อิน-เทอ-หลุด
ขัดขวาง
2
Polling
โฟล-ลิ้ง
การลงคะแนนเลือกตั้ง
3
Mailbox
เมล-บล็อก
ตู้จดหมาย
4
Control
คอน-โทล
การควบคุม
5
Protection Test Unit
โฟ-เทค-ชั่น-เทส-บยู-นิต
ผลการทดสอบหน่วยความ
6
Processor
โฟ-เสต
หน่วยประมวลผล
7
Interface
อิน-เตอร์-เฟซ
ติดต่อ
8
Logic
โล-จิก
ตรรกะ
9
Unit
ยู-นิต
หน่วย
10
Test
เทส
ทดสอบ





บทที่ 4
คำศัพท์
คำอ่าน
คำแปล
1
Random Access Memory
เรน-ดอม-แอค-เสต-เมม-เม-รี
แรม
2
Read Only Memory
รี้ด-ออล-ลี-เมม-เม-รี
รอม
3
Concept
คอน-เซป
แนวคิด
4
Output
เอาท์-พุต
ส่งออก
5
Fast
ฟาส
รวดเร็ว
6
Memory Stick
เมม-เม-รี-สะ-ติก
หน่วยความจำขนาดเล็ก
7
Memory
เมม-เม-รี
หน่อยความจำ
8
Static
สะ-เตก-ดิส
คงที่
9
Store
สะ-โตล
เก็บ
10
Program
โปร-แกรม
โครงการ


บทที่ 5
คำศัพท์
คำอ่าน
คำแปล
1
Random
แรน-ดอม
สุ่ม
2
Seek Time
ชีก-ทาม
ขอเวลา
3
Sector
เซก-เตอร์
ภาค
4
Patter
เพล-เตล
เสียงกุกกัก
5
Format
ฟอ-แมต
จัดรูปแบบ
6
Aluminum
อะ-ลู-มิ-นัม
อลูมิเนียม
7
Alloy
เอ-โล
โลหะผสม
8
Cylinder
ซาย-แรน-เดอร์
กระบอกสูบ
9
Hard Disk
ฮาร์ด-ดิสก์
ฮาร์ดดิสก์
10
Clusters
คัล-เตอร์
เครือข่ายวิสาหกิจ